Thursday, October 27, 2016

ตลาดอยุธยา...ต้องมา “หัวรอ”


วัลฤดี เกิดนอก...เรื่อง เสกสรร วสุวัต... ภาพ
ผลงานรางวัลเนื้อหาสารคดีดีเด่น และผลงานรางวัลภาพถ่ายสารคดีดีเด่น 
จากโครงการอบรมนักเขียนและช่างภาพสารคดีท่องเที่ยวกับ อนุสาร อ.ส.ท. รุ่นที่ ๖ ประจำปี ๒๕๕๙ 

            ตอนเป็นเด็กแม่มักจะชวนให้ไปตลาดด้วยให้ไปช่วยถือของ  ไอ้ฉันเองก็ชอบไป เพราะจะได้ขนมและของกินเป็นสิ่งตอบแทน แม่ให้เลือกขนมได้ตามใจชอบ ฉันไปตลาดกับแม่เป็นประจำตั้งแต่เด็ก ทำให้รู้สึกชอบเดินตลาดโดยไม่รู้ตัว ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว ได้รู้จักผักรู้จักปลาและนานาสรรพสิ่ง มีของอร่อยให้ลองชิม เหมือนที่คนโบราณเคยพูดไว้ว่า “ถ้าอยากฉลาด ให้ไปตลาด” ตลาดเป็นศูนย์รวมทุกเรื่องที่อยากรู้ นอกจากผักปลาหน้าตาแปลก ๆ แล้ว ตลาดยังเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นความเป็นอยู่ของผู้คนในชุมชนนั้นๆ    ได้เป็นอย่างดี สีหน้าและรอยยิ้มของผู้คน การทักทายอัธยาศัยไมตรีที่ผู้คนมีต่อกัน รวมทั้งเรื่องเม้าท์มอยหอยสังข์ หาฟังได้สด ๆ ร้อน ๆ จากสำนักตลาดสด ทำให้ฉันประทับใจการไปตลาดและชอบบรรยากาศของตลาดสด



               จนถึงทุกวันนี้ในฐานะแม่บ้าน ฉันก็ยังต้องไปตลาดเป็นประจำตามหน้าที่ และทุกครั้งที่ได้เดินทางไปต่างจังหวัดต่างบ้านต่างเมือง ฉันจะต้องไม่พลาดการไปตลาดสด ตลาดเช้า ตลาดเย็น รวมถึงตลาดนัด ของแต่ละท้องถิ่น เพราะอยากรู้ว่าผู้คนที่นั่นเขากินอะไรกัน อยู่กันอย่างไร แต่งตัวแบบไหน สำหรับฉัน     ฉันไปหาคำตอบได้จากใน “ตลาด”



            และเที่ยวนี้ฉันมาเยือนอยุธยา มีตลาดอะไรบ้างนะที่น่าสนใจและชวนให้ฉันอยากไป สำหรับเมืองพระนครศรีอยุธยาที่เมื่อครั้งอดีตเคยเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกและเป็นจุดศูนย์กลางของการสัญจรไปมาจากทั่วสารทิศ เพราะเป็นเกาะตั้งอยู่ตรงกลางที่มีแม่น้ำสามสายไหลผ่าน อยุธยาจึงเหมาะที่จะทำการค้าเป็นอย่างยิ่ง ด้วยความสะดวกในการคมนาคมขนส่ง ซึ่งในสมัยก่อนเราให้ความสำคัญกับการเดินทางทางน้ำเป็นหลัก เราใช้เรือเป็นพาหนะในการเดินทาง การที่อยุธยามีแม่น้ำไหลผ่านถึง ๓ สาย จึงเปรียบเสมือนการมีถนนซูเปอร์ไฮเวย์มุ่งตรงมายังเมืองท่าสำคัญแห่งนี้ และสถานที่สำคัญตั้งแต่เมื่อครั้งอยุธยารุ่งเรืองและยังคงอยู่ให้เห็นกันจนถึงทุกวันนี้ คือ หัวรอ 



            หัวรอ เป็นท่าเทียบเรือที่เปิดใช้มายาวนานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ท่าเทียบเรือหัวรอแห่งนี้ ท่านขุนหัวรอวราลักษณ์ ได้รับโปรดเกล้าฯ พระราชทานมาจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕  ในสมัยนั้นท่าเทียบเรือแห่งนี้ได้เปิดให้ใช้กันฟรี ๆ ใครมีสินค้าใดก็นำมาแลกเปลี่ยนซื้อขายกันได้ตามใจชอบ โดยมิได้มีการเรียกเก็บค่าเทียบเรือ ค่าจอดเรือ หรือภาษีใด ๆ



               คุณลุงเฉลิมโชค ตรีโภคา นายท่าหัวรอคนปัจจุบันซึ่งเป็นทายาทผู้ที่ได้รับเลือกให้สืบทอดกิจการท่าเรือหัวรอเป็นคนเล่าให้ฟังว่า “เพิ่งจะมีการเรียกเก็บเบี้ยค่าจอดเรือในสมัยของคุณยายผมนี่เอง  เมื่อก่อนให้ใช้กันฟรีๆ ไม่มีเรียกเก็บค่าอะไรใดๆทั้งนั้น  โอ๊ย! คึกคัก ขวักไขว่กันตั้งแต่เช้ายันค่ำ ค่ำยันรุ่ง มีเรือขนของมาขายตลอดทั้งวัน คนซื้อก็ซื้อกันยังกับห้างสรรพสินค้า ท่าหัวรอนี่นะ สมัยก่อนมันก็เป็นตลาดน้ำนี่แหละ มีเรือทุกชนิด มีทั้งเรือเกียง เรือแจว  ใส่ของมาขายกันเต็มลำ บางลำมาจากบางบาล บางลำมาเสนา มาจากทั่วทุกสารทิศ มาชุมนุมกันที่นี่แหละ ที่นี่มีท่าเรืออยู่ ๒ แห่ง แยกประเภทกัน เรือขนสินค้ามาขึ้นที่ท่าหัวรอ..นี่ แต่ถ้าเป็นผักเป็นปลาไปขึ้นที่ท่าศาลเจ้า..นู่น แต่ต่อมายุคสมัยมันเปลี่ยนไป เขาก็ขนของขึ้นไปขายกันบนฝั่ง ที่เป็น “ตลาดหัวรอ” ที่เรารู้จักกันนั่นน่ะ เรือจะมาเทียบท่าเอาของขึ้นช่วงเวลาประมาณ ๐๔.๐๐ น. กว่าตลาดจะวายก็บ่ายสองโมง นั่นแหละ”



จน ณ วันนี้ ก็ยังมีผู้คนที่ยังคงใช้ประโยชน์จากท่าเรือหัวรอแห่งนี้อยู่เป็นประจำสม่ำเสมอ เพราะถึงอย่างไรแม้ยุคสมัยเปลี่ยนไป แต่ผู้คนที่นี่ยังคงยึดวิถีการใช้สายน้ำในการสัญจรไปมาให้เราได้เห็นอยู่ในชีวิตประจำวัน วันนี้พอดีฉันได้มาเจอคุณลุงพ่อค้าขายผัดไทยอยู่ที่วัดท่าการ้อง คุณลุงมาซื้อของที่ตลาดหัวรอและกำลังลำเลียงขนของลงเรืออยู่พอดี คุณลุงบอกว่า “ใครจะใช้รถก็ใช้ไป แต่สำหรับผม เรือสำคัญที่สุด ทุกวันนี้ผมก็ยังใช้เรืออยู่เป็นประจำ เป็นคนอยุธยาแท้ ๆ ต้องขับเรือเป็น ดูอย่างเมื่อปี ๒๕๕๔ สิ แหม! ถ้าไม่มีเรือล่ะแย่เลย ปีนั้นน้ำท่วมใหญ่ ใครจะไปไหนก็ไปไม่ได้ แต่ผมสบาย เพราะผมใช้เรือ” พูดจบลุงก็ขนของเสร็จ สตาร์ทเครื่องเรือออกตัวด้วยความแรง โชว์ฝีมือการบังคับเรือหายวับไปกับตา



            ฉันเดินเล่นเรื่อย ๆ มา เพื่อมาดู “ท่าศาลเจ้า” ท่าเทียบเรือที่ได้รับการบอกเล่าจากคุณลุงทั้งสอง ท่าเรือก็อยู่ใกล้ ๆ กันนั่นแหละ แต่ที่ท่าศาลเจ้าแห่งนี้มีความพิเศษกว่าก็คืออยู่ตรงศาลเจ้าแม่ต้นจันทน์ ซึ่งเป็นศาลเจ้าขนาดไม่ใหญ่โตมาก แต่แลดูขลังและฉันสัมผัสได้ถึงพลังแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษา ณ ที่แห่งนี้ ศาลเจ้าแม่ต้นจันเป็นที่เคารพบูชาของคนในชุมชนหัวรอและชาวบ้านร้านตลาดที่มาจับจ่ายซื้อขายที่ตลาดหัวรอแห่งนี้มาช้านาน



ไหว้ศาลขอพรแล้ว ฉันก็เดินเข้ามาในตลาด บรรยากาศค่อนข้างเงียบเหงา ผู้คนบางตา ร้านค้าบางร้านเพิ่งจะจัดเตรียมตั้งร้านนำของออกมาวางขาย แต่แม่ค้าแผงขายปลานี่สิคึกคักกว่าใครเขา ตะโกนคุยกันไปมาเสียงดังลั่นตลาดจนฉันต้องตามไปที่ต้นเสียง โอ้โห! โอ้แม่เจ้า! ปลาอะไรกันนี่ ทำไมตัวมันมหึมาเต็มกะละมังขนาดนี้ มีสารพัดปลา ทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ แล้วไอ้เสียงที่คุยกันน่ะ บรรดาแม่ค้าแผงปลาเขาถามไถ่กันว่าใครได้ปลาอะไรมาบ้าง ปากก็ถามก็ตอบกันไป แต่มือก็ไม่อยู่นิ่ง ๆ ซอยกันเป็นระวิงเชียว พี่เขากำลังทำปลา ขอดเกล็ด กรีดพุงปลา ควักขี้ออก แล้วบั้งเป็นริ้ว ๆ เตรียมไว้ขายให้ลูกค้า เป็นบริการเสริมที่แม่ค้ายินดีทำด้วยความยิ้มแย้ม ทำไปยิ้มไป คุยกันไป




ฉันเข้าไปทักทายและถามไถ่ ว่านี่ปลาอะไรคะพี่ แม่ค้าแย่งกันตอบ บอกชื่อมาสารพัดปลาจนฉันจำไม่ได้สักกะชื่อเดียว แต่ฉันชอบนะ นี่คือสีสันบรรยากาศในตลาดสด “ตลาดหัวรอ”ที่มองมาจากภายนอกดูเหมือนจะเงียบเหงาเหมือนคนที่นั่งรอใครแบบใจจดใจจ่อ แต่พอได้เข้ามาข้างใน กลับมีแต่ความสดใสเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงทักทายกัน ฉันมองไปตรงไหนก็จะได้รับการ welcome ด้วยรอยยิ้มส่งกลับมา



ดูเหมือนพวกพ่อค้าแม่ค้าจะรู้ว่าฉันเป็นนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้มาซื้อของ ทุกสายตาพากันจ้องมองมาทำให้ฉันรู้สึกเขินอาย จำเป็นต้องหาที่กำบังกายสักแห่ง แว้บหายเข้าไปในร้านขายถ้วยชามรามไหนี่ล่ะวะกู โอ้โฮ! พระเจ้าชี้ทางชัด ๆ ใครอะไรดลใจให้ฉันเดินเข้ามาในร้านนี้ สวรรค์ของคนรักษ์แอนทีคอย่างฉัน เหมือนตกอยู่ในวังวน ภาชนะหม้อไหมีทั้งของเก่าและทำขึ้นใหม่เพื่อเลียนแบบ หม้อเคลือบ ปิ่นโตเคลือบ ถ้วยแก้วเจียระไน ชามลายโบราณ อยากได๊ อยากได้!! มันน่าซื้อจนแทบจะอดใจไม่ไหว ฉันกำลังจะคลั่งตาย ต้องหาอะไรมาดับกระหายความอยากได้เสียก่อน มองหาจนได้เจอ “ร้านน้ำชา”



ฉันรีบเดินตรงดิ่งมาที่ร้านน้ำชา สั่งชาร้อนมาระงับสติอารมณ์ ๑ แก้ว อารมณ์เริ่มผ่อนคลายความอยากได้เริ่มน้อยลง เหลือบมองไปโต๊ะข้าง ๆ มีคุณลุงสองคนนั่งคุยกันและเพื่อนร่วมวงสนทนาอีกคนคือพ่อค้าร้านน้ำชานี่แหละ ที่นี่คงจะเป็นสภากาแฟ ที่ที่คนจะมารวมตัวและแลกเปลี่ยนพุดคุยกันทุกเรื่องราว ซึ่งทุกวันนี้หาดูได้ยากแต่ที่นี่ยังมีให้เห็น “สภากาแฟที่ตลาดหัวรอ”



คุณลุงพงศักดิ์ ป้อมแก้ว หรือ “จ่าเปี๊ยก” ที่ชาวบ้านเขาเรียกกัน เล่าให้ฟังว่า “ผมมาตลาดหัวรอนี่ทุกวันตั้งแต่ตอนเป็นหนุ่ม ๆ จนถึงทุกวันนี้เกษียณแล้วก็มาทุกวัน มานั่งกินกาแฟแก้วนึง คุยกับเพื่อนฝูงพอหอมปากหอมคอแล้วก็กลับบ้านไปนอนต่อ  โอ้โห! เมื่อก่อนคึกคักมาก คนต่างอำเภอต้องมาซื้อของที่นี่ ผักของชาวบ้านก็ลงเรือหางยาวมาขายที่นี่ เรือหาปลาก็มาขึ้นปลาที่นี่ ปลากระโห้..นะ ตัวใหญ่ ๆ..นะ มีเกล็ด..นะ ตัวมันใหญ่ ๆ เหมือนคนอ้วนน่ะ ที่เขาด่ากันว่า ไอ้หน้าปลากระโห้น่ะ เต็ม มีเยอะ มาขายกันถูก ๆ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมี หายาก ตลาดก็เงียบ คนก็น้อยลง แต่ยังไงพวกผมก็ต้องมาทุกวัน” มันเป็นความผูกพันที่ขาดไม่ได้ต้องอยู่คู่กันไปจนวันตาย  นั่งคุยกับลุงสักพัก ฉันก็ขอตัวเดินดูให้ทั่วตลาด



เสน่ห์ของที่นี่ไม่ใช่มีเพียงแค่สินค้าผักปลาเท่านั้น หากแต่ยังมีความน่ารักของผู้คนชาวบ้านร้านตลาด พ่อค้าแม่ค้าลุงป้าน้าอาน่ารักเหลือเกินสุดจะบรรยาย ถูกใจสตรีหนีเที่ยวอย่างฉัน เที่ยวแล้วต้องรู้ต้องเข้าใจ ในความบันเทิงนั้นควรต้องมีคุณค่าด้วย

ไปตลาดสนุกจริง ๆ ขอบอกว่า...อย่าพลาด! อยากหาคำตอบแบบฉลาด ๆ ไปดูได้ที่ตลาด

ฉันเดินออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มและอิ่มเอมใจเปี่ยมไปด้วยความสุขที่ได้รับจากตลาดอย่างคาดไม่ถึง หากใครอยากได้รับความสุขแบบฉันนี้ ขอแนะนำให้มาพระนครศรีอยุธยาและห้ามพลาด “ตลาดหัวรอ” นะคะ


1 comment:

  1. อยากไปเดินบ้างจัง บรรยายได้ดี มองเห็นภาพในอดีตได้อย่างชัดเจน

    ReplyDelete