วรรณี ตั้งกิจสงวน...เรื่อง วชิรากรณ์
สมบูรณ์...ภาพ
ผลงานสารคดีรางวัลชมเชยจากโครงการอบรมนักเขียนและช่างภาพสารคดีท่องเที่ยวกับอนุสาร อ.ส.ท. รุ่นที่ ๖ ประจำปี ๒๕๕๙
“ศาลนักบุญมีมานานแล้ว
ตั้งแต่หลังคาเป็นสังกะสี กรมศิลปากรมาบูรณะและย้ายไปอยู่ด้านหน้าอาคาร
ที่นี่ศักดิ์สิทธิ์มากนะ ลุงได้เมียก็ที่นี่ ได้ลูกสองคนก็ที่นี่”
ลุงเสนอ ไกลทองสุข อายุ ๖๗ ปี รับหน้าที่ดูแลหมู่บ้านโปรตุเกสให้กับกรมศิลปากร
เล่าให้ฟังถึงความศรัทธาต่อศาลนักบุญ ก่อนกรมศิลปากรขุดแต่งและบูรณะเมื่อปีพ.ศ.
๒๕๒๗
ศาลนักบุญที่มีมาแต่เดิม กรมศิลปากรสร้างศาลใหม่ด้วยไม้รูปทรงไทยโบราณ
หลังคาจั่วไม้กางเขน และย้ายที่ตั้งศาลมาอยู่ด้านหน้าอาคาร
พื้นที่ละแวกนี้มีคนนับถือสามศาสนาอยู่ด้วยกัน
บ้านประมาณ ๗-๘ หลังตั้งอยู่ด้านหน้าอาคารติดแม่น้ำเจ้าพระยา
ทุกบ้านนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ชาวจีนนับถือศาสนาพุทธอาศัยอยู่ด้านเหนือหลังกำแพงหมู่บ้านโปรตุเกส
ส่วนชาวมุสลิมอาศัยอยู่ด้านใต้
ลุงเสนอยิ้มอย่างสุขใจ ยามบอกเล่าเรื่องราวความแตกต่างของผู้คนรอบ
ๆ บ้านที่ลุงเกิดและอาศัยอยู่ในหมู่บ้านโปรตุเกส
๑.
หมู่บ้านโปรตุเกสเคยเป็นย่าน
Downtown
ของกรุงศรีอยุธยา
เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านของผู้คนหลายเชื้อชาติ
ศาสนาที่เข้ามาติดต่อค้าขาย ด้านตะวันออกติดแม่น้ำเจ้าพระยา
มีหมู่บ้านญี่ปุ่นและหมู่บ้านฮอลันดาตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม
หมู่บ้านชาวมุสลิมอยู่ด้านใต้และตะวันตกฝั่งเดียวกัน
ภาพผู้คนสัญจรทางน้ำทางบกขวักไขว่ เรือเมล์
เรือสินค้าเต็มคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยาบ่งบอกถึงย่านการค้า
แต่ในวันนี้เหลือเพียงซากโบราณสถานและคุ้งน้ำอันเงียบเหงา
ปัจจุบันหมู่บ้านโปรตุเกสไม่มีวัดคาทอลิกเหลืออยู่
ไม่เว้นแม้แต่วัดนักบุญยอแซฟของชาวฝรั่งเศสถูกทำลายยับเยินไปพร้อมกับพระราชวังหลวง
วัดพุทธในเกาะเมืองและนอกเกาะเมือง ช่วงเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒
ต่อมาในภายหลังพระสังฆราชฌอง
บัปติสต์ ปัลเอลกัวซ์ เริ่มต้นฟื้นฟูวัดคริสต์ด้วยการซื้อที่ดินวัดนักบุญยอแซฟกลับคืนมา
และรวบรวมชาวญวนคริสตังให้มาอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้าน สร้างวัดนักบุญยอแซฟขึ้นใหม่บนรากฐานเดิมในปีพ.ศ.
๒๓๗๘ เพื่อเป็นศาสนสถานสำหรับประกอบศาสนพิธี
ความเสื่อมโทรมตามกาลเวลาย่อมเกิดขึ้น
จึงมีการบูรณะซ่อมแซมวัดเรื่อยมา แต่ยังคงรักษาความสง่าอลังการของสถาปัตยกรรม ตลอดจนลวดลายอันงดงามของกระจกสีให้ปรากฏสีสันและเรื่องราวอยู่มาจนทุกวันนี้
๒.
ไม่ได้แบ่งว่าใครนับถือศาสนาอะไร เป็นเพื่อนกันเชิญเขาก็มา
หากไม่รู้จักถ้าไม่เชิญ
ไม่มีใครกล้ามา แม้จะนับถือศาสนาเดียวกัน
บ้านพี่รฐาอยู่ปากทางเข้าวัดนักบุญยอแซฟ
กำลังจัดงานแต่งงาน แขกผู้ชายส่วนใหญ่สวมหมวกตะกียะห์ ผู้หญิงสวมฮิญาบ
บ่งบอกว่าเป็นงานแต่งของชาวมุสลิม ถึงเวลาฤกษ์งามยามดีเจ้าบ่าวยกขบวนขันหมากมารับเจ้าสาว
ซึ่งก็คือ พี่รฐา
เด็ก ๆ
และญาติฝ่ายเจ้าสาวสนุกกับการกั้นประตูเงินประตูทอง
หากเจ้าบ่าวต้องการเข้าบ้านมารับเจ้าสาวต้องควักซองให้ก่อนถึงจะเข้าได้
คล้ายธรรมเนียมไทยแต่โบราณ
พี่รฐา โรจนสิทธิ์ อายุ ๔๓ ปี ยังเล่าเรื่องราวรอบ
ๆ บ้านที่อยู่ใกล้ทั้งวัดพุทธ วัดคริสต์ และมัสยิด เกี่ยวกับการประกอบศาสนกิจว่าเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลไม่เกี่ยวข้องกัน
วัดไทยสวดมนต์ทำวัตร วัดคริสต์ร้องเพลงสรรเสริญพระเยซู หรือแม้แต่มัสยิดละหมาด ทุกวัดและมัสยิดสวดออกลำโพงเสียงดังได้เช่นเดียวกัน
ไม่มีใครต่อว่า อยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข
๓.
ทำไมต้องกุฎีช่อฟ้า?
ครูอาซัน ตะเคียนเก้า เล่าว่า
บ้านเรือนของชาวมุสลิมอยู่ด้านใต้ของหมู่บ้านโปรตุเกส เริ่มสร้างมัสยิดด้วยไม้
รูปทรงไม่มีลักษณะเด่นเป็นสถาปัตยกรรมอิสลาม เรียกกันว่า “สุเหร่าต้นโพธิ์”
และยังไม่มีชื่อเรียกมัสยิดอย่างเป็นทางการ
ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสทางชลมารคเยี่ยมเยียนราษฎร ทรงประทับในอาคารมัสยิด ท่านอิหม่ามโต๊ะกีแย้ม
ตะเคียนคามขอพระราชทานชื่อมัสยิด
พระองค์ทรงทอดพระเนตรรูปทรงหลังคาจั่วมีช่อฟ้าใบระกาและหางหงส์
จึงพระราชทานให้ชื่อว่า “มัสยิดกุฎีช่อฟ้า” พร้อมพระราชทาน “ตะเกียงช่อ”
“มัสยิดเป็นโรงเรียนสอนอัลกุรอาน
ฟัรดูอีน ให้กับเด็ก ๆ รุ่นเล็กสอนให้ท่องจำก่อนยังไม่ต้องรู้ความหมาย โตหน่อยค่อยให้เรียนรู้ความหมาย
สอนเฉพาะวันเสาร์ ส่วนวันจันทร์ถึงศุกร์ไปโรงเรียนตามปกติ”
ครูฮาซันเล่าให้ฟังต่อว่า ชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ละแวกคลองตะเคียนสืบเชื้อสายมาจากคนมลายู
จึงเป็นเหตุให้เรียกคนมุสลิมที่นี่ว่าแขกตานี อาคารมัสยิดกุฎีช่อฟ้ามีการบูรณะเปลี่ยนแปลงอาคารไม้หลังเดิม
วางรากฐานสร้างอาคารใหม่เปิดเป็นศูนย์อบรมจริยธรรม บรรยายศาสนธรรมให้กับชาวมุสลิม
และเป็นโรงเรียนสอนอัลกุรอาน ฟัรดูอีน
๔.
ห่างจากุฎีช่อฟ้าอีกอึดใจ วัดพุทไธศวรรย์
ล่องเรือขึ้นเหนือจากหมู่บ้านโปรตุเกสตามคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยาไม่ไกลกันนัก
จะพบวัดพุทไธศวรรย์ ซึ่งหลักฐานจากพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยากล่าวไว้ว่า บริเวณวัดคือ
พระตำหนักเวียงเหล็กที่ประทับของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง)
ก่อนยกเมืองย้ายข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปสร้างพระราชวังที่บึงพระรามในปัจจุบัน
ภายหลังครองราชย์สมบัติได้ ๓ ปี จึงสถาปนาพระอารามขึ้นเป็นอนุสรณ์ ถือเป็นวัดสร้างขึ้นในยุคต้นกรุงศรีอยุธยา
แต่สิ่งก่อสร้างภายในวัดยังเหลือให้เห็นค่อนข้างสมบูรณ์
เหตุเพราะวัดตั้งอยู่นอกเกาะเมืองอยุธยา
ทำให้ได้รับความเสียหายน้อยกว่าวัดที่อยู่ภายในเกาะเมือง
ปัจจุบันยังมีพระภิกษุจำวัดและประกอบศาสนกิจอยู่เป็นปกติ
อาคารสองชั้นทรงเรือสำเภา
สร้างถัดจากพระอุโบสถไม่ปรากฏชื่อ แต่นักวิชาการในสมัยหลังเรียกว่า “ตำหนักพระพุทธโฆษาจารย์”
ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรียงรายรอบทุกด้าน เป็นเรื่องไตรภูมิ ชาดก รวมถึงคนต่างชาติ
แสดงให้เห็นประวัติศาสตร์ ศาสนา สังคม และวัฒนธรรมในช่วงกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
การเป็นเมืองท่าของกรุงศรีอยุธยาทำให้มีผู้คนมากมายหลายเชื้อชาติ
ศาสนาและวัฒนธรรมมาอยู่รวมกัน
๕.
“พวกแกซื้อหมูให้ไม่ได้
พายายไปตลาดหน่อยก็แล้วกัน”
ยายสาลี่ มากผาสุข อายุ ๗๒ ปี อาศัยอยู่ในชุมชนมุสลิมตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาและริมปากคลองตะเคียนก่อนไหลมารวมกับแม่น้ำเจ้าพระยา
บอกเล่าให้ฟังถึงน้ำใจงามของเพื่อนบ้านมุสลิม
ยายสาลี่เป็นคนพุทธบ้านเดียวในชุมชนมุสลิมแห่งนี้
เดิมทียายไม่ได้อาศัยอยู่ในละแวกนี้ เพิ่งย้ายมาตอนอายุ ๑๙ ปี
ที่อยู่เดิมแล้งมากน้ำท่าไม่พอใช้ จึงตัดสินใจย้ายครัวมาตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
เพื่อนบ้านดูแลและช่วยเหลือกันดี เข้าใจและยอมรับซึ่งกันและกันในความแตกต่างของศาสนา
ลูกหลานมุสลิมแถวนี้ยายก็เลี้ยงมาแต่น้อย
อยู่มาอย่างนี้นานแล้ว
สายใยสัมพันธ์
“กรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุธยา”
เป็นชื่อพระเจ้าอู่ทองทรงตั้งขึ้นเมื่อตอนสร้างเมือง
เกาะเมืองอยุธยาตั้งอยู่ในชัยภูมิที่เหมาะสมกับการเป็นเมืองท่า
ส่งผลให้ผู้คนหลายเชื้อชาติ ศาสนามาอยู่รวมกัน
เมื่อมีต่างชาติต่างศาสนาเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองอยุธยา
กษัตริย์ไทยแต่โบราณมามิได้นิ่งเฉยไม่ไยดีกับความเป็นอยู่
ทรงพระราชทานที่ดินรวมทั้งอนุญาตให้สร้างหมู่บ้านโปรตุเกส สร้างชุมชนมุสลิม
วัดนักบุญยอแซฟ แม้กระทั่งชื่อมัสยิดยังทรงพระราชทานให้ แม้เปลี่ยนรูปการปกครองไปแล้วแต่ยังมีหน่วยงานราชการ
เช่น กรมศิลปากรทำหน้าที่ดูแลโบราณสถานต่าง ๆ ในอยุธยาโดยไม่เลือกศาสนาแต่อย่างใด
ไม่ว่าบรรพบุรุษแต่เดิมของลุงเสนอ
ครูอาซัน พี่รฐา ยายสาลี่ จะเป็นใครมาจากไหน หรือนับถือศาสนาอะไรก็ตาม ความแตกต่างนี้ไม่ได้ส่งผลให้การอยู่ร่วมกันแปลกแยกแตกต่าง
หากแต่อยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน
แม้วันนี้หมู่บ้านโปรตุเกสอาจเงียบเหงา
ไม่หลงเหลือความเป็นย่าน Downtown แล้ว
แต่สีสันวิถีชีวิตของผู้คนไม่เคยจางหายไป
ผู้คนหลายเชื้อชาติหลายศาสนายังคงอยู่ร่วมกันด้วยสายใยสัมพันธ์แห่งความศรัทธาในเมืองท่าเมืองค้าขายที่มั่งคั่งคึกคักมาก
จนชาวต่างชาติให้สมญานามว่า “เกาะทองทะเลใต้” วันเวลาแปรเปลี่ยนไป
แต่สายใยของคนสามศาสนา ยังถักทอสายใยเหนียวแน่นไม่มีวันเปลี่ยนแปร
เอกสารอ้างอิง
ไกรฤกษ์
นานา.๕๐๐ปีสายสัมพันธ์สองแผ่นดินไทย-โปรตุเกส.กรุงเทพฯ :
มติชน.,๒๕๕๓
ชมรมมุสลิมมัสยิดกุฎีช่อฟ้า.หนังสืออนุสรณ์งาน
“๔๐ ปี ชมช.”.
วัดนักบุญยอแซฟ
อยุธยา.บ้านแรก วัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา ปฐมบทแห่งคาทอลิกไทย,เมษายน ๒๕๕๙.
http://siamportuguesestudy.blogsport.com/2010/06/blog-post_12.html
ขอขอบคุณ
ลุงเสนอ
ไกลทองสุข, พี่รฐา โรจนสิทธิ์, ครูฮาซัน ตะเคียนเก้า, ยายสาลี่ มากผาสุข
No comments:
Post a Comment