Thursday, October 27, 2016

เกาะทองทะเลใต้...สานสายใย (สัมพันธ์) แห่งศรัทธา


วรรณี ตั้งกิจสงวน...เรื่อง วชิรากรณ์ สมบูรณ์...ภาพ 
ผลงานสารคดีรางวัลชมเชยจากโครงการอบรมนักเขียนและช่างภาพสารคดีท่องเที่ยวกับอนุสาร อ.ส.ท.  รุ่นที่ ๖ ประจำปี ๒๕๕๙
            
           “ศาลนักบุญมีมานานแล้ว ตั้งแต่หลังคาเป็นสังกะสี กรมศิลปากรมาบูรณะและย้ายไปอยู่ด้านหน้าอาคาร ที่นี่ศักดิ์สิทธิ์มากนะ ลุงได้เมียก็ที่นี่ ได้ลูกสองคนก็ที่นี่”
            
           ลุงเสนอ ไกลทองสุข อายุ ๖๗ ปี รับหน้าที่ดูแลหมู่บ้านโปรตุเกสให้กับกรมศิลปากร เล่าให้ฟังถึงความศรัทธาต่อศาลนักบุญ ก่อนกรมศิลปากรขุดแต่งและบูรณะเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๒๗

            ศาลนักบุญที่มีมาแต่เดิม กรมศิลปากรสร้างศาลใหม่ด้วยไม้รูปทรงไทยโบราณ หลังคาจั่วไม้กางเขน และย้ายที่ตั้งศาลมาอยู่ด้านหน้าอาคาร


            พื้นที่ละแวกนี้มีคนนับถือสามศาสนาอยู่ด้วยกัน บ้านประมาณ ๗-๘ หลังตั้งอยู่ด้านหน้าอาคารติดแม่น้ำเจ้าพระยา ทุกบ้านนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ชาวจีนนับถือศาสนาพุทธอาศัยอยู่ด้านเหนือหลังกำแพงหมู่บ้านโปรตุเกส ส่วนชาวมุสลิมอาศัยอยู่ด้านใต้

            ลุงเสนอยิ้มอย่างสุขใจ ยามบอกเล่าเรื่องราวความแตกต่างของผู้คนรอบ ๆ บ้านที่ลุงเกิดและอาศัยอยู่ในหมู่บ้านโปรตุเกส



๑.

            หมู่บ้านโปรตุเกสเคยเป็นย่าน Downtown ของกรุงศรีอยุธยา

            เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านของผู้คนหลายเชื้อชาติ ศาสนาที่เข้ามาติดต่อค้าขาย ด้านตะวันออกติดแม่น้ำเจ้าพระยา มีหมู่บ้านญี่ปุ่นและหมู่บ้านฮอลันดาตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม หมู่บ้านชาวมุสลิมอยู่ด้านใต้และตะวันตกฝั่งเดียวกัน ภาพผู้คนสัญจรทางน้ำทางบกขวักไขว่ เรือเมล์ เรือสินค้าเต็มคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยาบ่งบอกถึงย่านการค้า

            แต่ในวันนี้เหลือเพียงซากโบราณสถานและคุ้งน้ำอันเงียบเหงา

            ปัจจุบันหมู่บ้านโปรตุเกสไม่มีวัดคาทอลิกเหลืออยู่ ไม่เว้นแม้แต่วัดนักบุญยอแซฟของชาวฝรั่งเศสถูกทำลายยับเยินไปพร้อมกับพระราชวังหลวง วัดพุทธในเกาะเมืองและนอกเกาะเมือง ช่วงเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒



            ต่อมาในภายหลังพระสังฆราชฌอง บัปติสต์ ปัลเอลกัวซ์ เริ่มต้นฟื้นฟูวัดคริสต์ด้วยการซื้อที่ดินวัดนักบุญยอแซฟกลับคืนมา และรวบรวมชาวญวนคริสตังให้มาอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้าน สร้างวัดนักบุญยอแซฟขึ้นใหม่บนรากฐานเดิมในปีพ.ศ. ๒๓๗๘ เพื่อเป็นศาสนสถานสำหรับประกอบศาสนพิธี

            ความเสื่อมโทรมตามกาลเวลาย่อมเกิดขึ้น จึงมีการบูรณะซ่อมแซมวัดเรื่อยมา แต่ยังคงรักษาความสง่าอลังการของสถาปัตยกรรม ตลอดจนลวดลายอันงดงามของกระจกสีให้ปรากฏสีสันและเรื่องราวอยู่มาจนทุกวันนี้


๒.

            ไม่ได้แบ่งว่าใครนับถือศาสนาอะไร เป็นเพื่อนกันเชิญเขาก็มา

          หากไม่รู้จักถ้าไม่เชิญ ไม่มีใครกล้ามา แม้จะนับถือศาสนาเดียวกัน

            บ้านพี่รฐาอยู่ปากทางเข้าวัดนักบุญยอแซฟ กำลังจัดงานแต่งงาน แขกผู้ชายส่วนใหญ่สวมหมวกตะกียะห์ ผู้หญิงสวมฮิญาบ บ่งบอกว่าเป็นงานแต่งของชาวมุสลิม ถึงเวลาฤกษ์งามยามดีเจ้าบ่าวยกขบวนขันหมากมารับเจ้าสาว ซึ่งก็คือ พี่รฐา


            เด็ก ๆ และญาติฝ่ายเจ้าสาวสนุกกับการกั้นประตูเงินประตูทอง หากเจ้าบ่าวต้องการเข้าบ้านมารับเจ้าสาวต้องควักซองให้ก่อนถึงจะเข้าได้ คล้ายธรรมเนียมไทยแต่โบราณ

            พี่รฐา โรจนสิทธิ์ อายุ ๔๓ ปี ยังเล่าเรื่องราวรอบ ๆ บ้านที่อยู่ใกล้ทั้งวัดพุทธ วัดคริสต์ และมัสยิด เกี่ยวกับการประกอบศาสนกิจว่าเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลไม่เกี่ยวข้องกัน วัดไทยสวดมนต์ทำวัตร วัดคริสต์ร้องเพลงสรรเสริญพระเยซู หรือแม้แต่มัสยิดละหมาด ทุกวัดและมัสยิดสวดออกลำโพงเสียงดังได้เช่นเดียวกัน ไม่มีใครต่อว่า อยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข


๓.
            ทำไมต้องกุฎีช่อฟ้า?

            ครูอาซัน ตะเคียนเก้า เล่าว่า บ้านเรือนของชาวมุสลิมอยู่ด้านใต้ของหมู่บ้านโปรตุเกส เริ่มสร้างมัสยิดด้วยไม้ รูปทรงไม่มีลักษณะเด่นเป็นสถาปัตยกรรมอิสลาม เรียกกันว่า “สุเหร่าต้นโพธิ์” และยังไม่มีชื่อเรียกมัสยิดอย่างเป็นทางการ

            ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสทางชลมารคเยี่ยมเยียนราษฎร ทรงประทับในอาคารมัสยิด ท่านอิหม่ามโต๊ะกีแย้ม ตะเคียนคามขอพระราชทานชื่อมัสยิด พระองค์ทรงทอดพระเนตรรูปทรงหลังคาจั่วมีช่อฟ้าใบระกาและหางหงส์ จึงพระราชทานให้ชื่อว่า “มัสยิดกุฎีช่อฟ้า” พร้อมพระราชทาน “ตะเกียงช่อ”


            มัสยิดเป็นโรงเรียนสอนอัลกุรอาน ฟัรดูอีน ให้กับเด็ก ๆ รุ่นเล็กสอนให้ท่องจำก่อนยังไม่ต้องรู้ความหมาย โตหน่อยค่อยให้เรียนรู้ความหมาย สอนเฉพาะวันเสาร์ ส่วนวันจันทร์ถึงศุกร์ไปโรงเรียนตามปกติ

            ครูฮาซันเล่าให้ฟังต่อว่า ชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ละแวกคลองตะเคียนสืบเชื้อสายมาจากคนมลายู จึงเป็นเหตุให้เรียกคนมุสลิมที่นี่ว่าแขกตานี อาคารมัสยิดกุฎีช่อฟ้ามีการบูรณะเปลี่ยนแปลงอาคารไม้หลังเดิม วางรากฐานสร้างอาคารใหม่เปิดเป็นศูนย์อบรมจริยธรรม บรรยายศาสนธรรมให้กับชาวมุสลิม และเป็นโรงเรียนสอนอัลกุรอาน ฟัรดูอีน


๔.

                ห่างจากุฎีช่อฟ้าอีกอึดใจ วัดพุทไธศวรรย์

            ล่องเรือขึ้นเหนือจากหมู่บ้านโปรตุเกสตามคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยาไม่ไกลกันนัก จะพบวัดพุทไธศวรรย์ ซึ่งหลักฐานจากพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยากล่าวไว้ว่า บริเวณวัดคือ พระตำหนักเวียงเหล็กที่ประทับของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ก่อนยกเมืองย้ายข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปสร้างพระราชวังที่บึงพระรามในปัจจุบัน ภายหลังครองราชย์สมบัติได้ ๓ ปี จึงสถาปนาพระอารามขึ้นเป็นอนุสรณ์ ถือเป็นวัดสร้างขึ้นในยุคต้นกรุงศรีอยุธยา แต่สิ่งก่อสร้างภายในวัดยังเหลือให้เห็นค่อนข้างสมบูรณ์ เหตุเพราะวัดตั้งอยู่นอกเกาะเมืองอยุธยา ทำให้ได้รับความเสียหายน้อยกว่าวัดที่อยู่ภายในเกาะเมือง ปัจจุบันยังมีพระภิกษุจำวัดและประกอบศาสนกิจอยู่เป็นปกติ


         อาคารสองชั้นทรงเรือสำเภา สร้างถัดจากพระอุโบสถไม่ปรากฏชื่อ แต่นักวิชาการในสมัยหลังเรียกว่า “ตำหนักพระพุทธโฆษาจารย์” ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรียงรายรอบทุกด้าน เป็นเรื่องไตรภูมิ ชาดก รวมถึงคนต่างชาติ แสดงให้เห็นประวัติศาสตร์ ศาสนา สังคม และวัฒนธรรมในช่วงกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
            การเป็นเมืองท่าของกรุงศรีอยุธยาทำให้มีผู้คนมากมายหลายเชื้อชาติ ศาสนาและวัฒนธรรมมาอยู่รวมกัน

๕.

            “พวกแกซื้อหมูให้ไม่ได้ พายายไปตลาดหน่อยก็แล้วกัน”

          ยายสาลี่ มากผาสุข อายุ ๗๒ ปี อาศัยอยู่ในชุมชนมุสลิมตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาและริมปากคลองตะเคียนก่อนไหลมารวมกับแม่น้ำเจ้าพระยา บอกเล่าให้ฟังถึงน้ำใจงามของเพื่อนบ้านมุสลิม

            ยายสาลี่เป็นคนพุทธบ้านเดียวในชุมชนมุสลิมแห่งนี้ เดิมทียายไม่ได้อาศัยอยู่ในละแวกนี้ เพิ่งย้ายมาตอนอายุ ๑๙ ปี ที่อยู่เดิมแล้งมากน้ำท่าไม่พอใช้ จึงตัดสินใจย้ายครัวมาตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อนบ้านดูแลและช่วยเหลือกันดี เข้าใจและยอมรับซึ่งกันและกันในความแตกต่างของศาสนา

            ลูกหลานมุสลิมแถวนี้ยายก็เลี้ยงมาแต่น้อย อยู่มาอย่างนี้นานแล้ว


สายใยสัมพันธ์

            “กรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุธยา”

            เป็นชื่อพระเจ้าอู่ทองทรงตั้งขึ้นเมื่อตอนสร้างเมือง เกาะเมืองอยุธยาตั้งอยู่ในชัยภูมิที่เหมาะสมกับการเป็นเมืองท่า ส่งผลให้ผู้คนหลายเชื้อชาติ ศาสนามาอยู่รวมกัน เมื่อมีต่างชาติต่างศาสนาเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองอยุธยา

            กษัตริย์ไทยแต่โบราณมามิได้นิ่งเฉยไม่ไยดีกับความเป็นอยู่ ทรงพระราชทานที่ดินรวมทั้งอนุญาตให้สร้างหมู่บ้านโปรตุเกส สร้างชุมชนมุสลิม วัดนักบุญยอแซฟ แม้กระทั่งชื่อมัสยิดยังทรงพระราชทานให้ แม้เปลี่ยนรูปการปกครองไปแล้วแต่ยังมีหน่วยงานราชการ เช่น กรมศิลปากรทำหน้าที่ดูแลโบราณสถานต่าง ๆ ในอยุธยาโดยไม่เลือกศาสนาแต่อย่างใด
 
            ไม่ว่าบรรพบุรุษแต่เดิมของลุงเสนอ ครูอาซัน พี่รฐา ยายสาลี่ จะเป็นใครมาจากไหน หรือนับถือศาสนาอะไรก็ตาม ความแตกต่างนี้ไม่ได้ส่งผลให้การอยู่ร่วมกันแปลกแยกแตกต่าง หากแต่อยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน

            แม้วันนี้หมู่บ้านโปรตุเกสอาจเงียบเหงา ไม่หลงเหลือความเป็นย่าน Downtown แล้ว แต่สีสันวิถีชีวิตของผู้คนไม่เคยจางหายไป ผู้คนหลายเชื้อชาติหลายศาสนายังคงอยู่ร่วมกันด้วยสายใยสัมพันธ์แห่งความศรัทธาในเมืองท่าเมืองค้าขายที่มั่งคั่งคึกคักมาก จนชาวต่างชาติให้สมญานามว่า “เกาะทองทะเลใต้” วันเวลาแปรเปลี่ยนไป แต่สายใยของคนสามศาสนา ยังถักทอสายใยเหนียวแน่นไม่มีวันเปลี่ยนแปร


เอกสารอ้างอิง
ไกรฤกษ์ นานา.๕๐๐ปีสายสัมพันธ์สองแผ่นดินไทย-โปรตุเกส.กรุงเทพฯ : มติชน.,๒๕๕๓
ชมรมมุสลิมมัสยิดกุฎีช่อฟ้า.หนังสืออนุสรณ์งาน “๔๐ ปี ชมช.”.
วัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา.บ้านแรก วัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา ปฐมบทแห่งคาทอลิกไทย,เมษายน ๒๕๕๙.
http://siamportuguesestudy.blogsport.com/2010/06/blog-post_12.html
ขอขอบคุณ

ลุงเสนอ ไกลทองสุข, พี่รฐา โรจนสิทธิ์, ครูฮาซัน ตะเคียนเก้า, ยายสาลี่ มากผาสุข

Monday, October 3, 2016

“ตุ๊กตุ๊กหัวกบ” เสน่ห์ที่ยังไม่เลือนหาย

การพบกันของพาหนะต่างยุค 

วัลยา  ทองหอม...เรื่อง วรางคณา  แสนเยีย ...ภาพ
ผลงานสารคดีจากผู้เข้าอบรมในโครงการอบรมนักเขียนและช่างภาพสารคดีท่องเที่ยวกับอนุสารอ.ส.ท. 
รุ่นที่ ๖ ปี ๒๕๕๙

เมื่อมาถึง “อยุธยา” จะเห็นว่ามีรถโดยสารสามล้อเครื่องรับจ้าง หรือที่เรียกกันว่า “ตุ๊กตุ๊ก” แต่ของที่นี่แตกต่างไม่เหมือนใคร เนื่องจากหัวรถมีลักษณะคล้ายสัตว์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “กบ” ด้วยความมีเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้ฉันหลงใหลในรูปโฉมจนอยากจะรู้จักเจ้ารถชนิดนี้ให้มากขึ้น ว่าเหตุไฉนหน้าตาจึงดูตลก มันเกี่ยวข้องอย่างไรกับกบตัวเป็นๆ บ้างหรือไม่

 ตุ๊กๆ หัวกบ แบบดั้งเดิม

จึงต้องไปสืบประวัติ “รถหัวกบ” จนได้ความมาว่า เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๐ ประเทศญี่ปุ่นเริ่มจำหน่ายรถบรรทุกสามล้อ ยี่ห้อไดฮัทสุ (Daihatsu) รุ่นมิดเจ็ท ดีเค (Midget DK) เป็นรถสองจังหวะ ( ZA 250 cc)
มีไฟหน้าหนึ่งดวง และมีที่จับบังคับเหมือนรถจักรยานยนต์หรือที่เรียกว่า “แฮนด์”  ซึ่งเป็นรถต้นแบบ ตุ๊กตุ๊ก ของไทย

ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ประเทศไทยเริ่มมีการนำเข้ารถบรรทุกสามล้อ ยี่ห้อไดฮัทสุ รุ่นมิดเจ็ท ดีเค จากประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก จำนวน ๓๐ คัน บรรทุกมาทางเรือขึ้นที่ท่าเรือคลองเตย และนำออกจำหน่ายกันอย่างแพร่หลายในย่านเยาวราช โดยคนไทยในยุคนั้นเรียกกันว่า “สามล้อเครื่อง” ต่อมาภายหลังได้มีการนำเข้ารุ่นมิดเจ็ท เอ็มพี 4 (Midget MP4) ซึ่งเป็นรถรุ่นใหม่ที่เพิ่มส่วนประตูสองข้าง โดยได้ทำการขยายการจำหน่ายไปยังจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดตรังอีกด้วย

 เครื่องยนต์ที่อยู่ใต้เบาะที่นั่งคนขับ

ต่อมามีการนำเข้าอีกรุ่นหนึ่งคือ มิดเจ็ท เอ็มพี 5 (Midget MP5) รถทั้งสองรุ่นใช้เครื่องยนต์เป็นแบบสองจังหวะ ๓๕๐ cc ระบายความร้อนด้วยอากาศธรรมดา กำลังเครื่องยนต์อยู่ที่ ๑๒ แรงม้า ระบบเกียร์ธรรมดา ๓ ระดับ น้ำหนักบรรทุกโดยรวมประมาณ ๓๕๐ kg ห้องคนขับมีประตูเปิด-ปิด ผู้โดยสารสามารถนั่งคู่กับคนขับได้ ความแตกต่างของรถรุ่นนี้คือ ช่องระบายอากาศที่อยู่ตรงไฟหน้ารถ รุ่น MP5 จะมีขนาดใหญ่กว่า รุ่น MP4

ลักษณะเด่นของทั้งสองรุ่นอยู่ที่ระบบบังคับเลี้ยวเป็นแบบพวงมาลัย เหมือนรถยนต์ทั่วไป ซึ่งแตกต่างจากรถรุ่นแรกๆ ที่มีระบบบังคับเลี้ยวเป็นแบบรถจักรยานยนต์ จึงเป็นรถต้นแบบของรถตุ๊กตุ๊ก ที่วิ่งกันอยู่ในปัจจุบันของทั้งสองจังหวัด

เมื่อได้รับความนิยมมากขึ้นจึงมีการนำเข้ารถยี่ห้ออื่นๆ ตามมา เช่น ฮีโน่ มิตซูบิชิ เป็นต้น ในประเทศไทยยุคแรก รถตุ๊กตุ๊กที่มีใช้คือยี่ห้อ ฮอนด้า ไดฮัทสุ ฮีโน่ มาสด้า มิตซูบิชิ ซึ่งตกอยู่ราวคันละเกือบ ๒๐,๐๐๐ บาท ปัจจุบันราคาถึงหลักแสน

 ตุ๊กตุ๊กหัวกบกับโบราณสถาน

คุณนภัทร์  สำลี หรือคุณจอย ผู้เป็นหนึ่งในเจ้าของกิจการถสามล้อเครื่องในอยุธยา มีรถอยู่ในความดูแลทั้งหมด ๑๕ คัน เล่าถึงความเป็นมาให้ฟังว่า คุณพ่อของคุณจอย ซึ่งเป็นชาวมุสลิมเคยเป็นประธานสหกรณ์รถสามล้อเครื่องในจังหวัด แต่ภายหลังได้แยกตัวออกมาดำเนินกิจการเอง และคุณจอยได้สืบทอดกิจการต่อมา

ปัจจุบันรถของคุณจอยได้ดัดแปลงปรับรูปโฉมใหม่โดยจากตากลมมาเปลี่ยนให้เป็นสี่เหลี่ยมและต่อช่วงห้องผู้โดยสารให้กว้างและยาวขึ้น เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวซึ่งเป็นชาวต่างชาติ แต่รูปทรงยังคงเอกลักษณ์ความเป็น ”หัวกบ” เอาไว้ เครื่องยนต์ของรถก็จะมีการเพิ่มขนาดขึ้นเช่น ๖๕๐, ๘๐๐, ๙๐๐, ๑๐๐๐ ระบบเกียร์ มีทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์ออโต้ รถทุกคันเปลี่ยนมาใช้แก๊ส LPG เป็นเชื้อเพลิง มีความทันสมัยอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังได้มีการออกแบบลวดลายเป็นโลโก้ให้กับรถและจดทะเบียนลิขสิทธิ์อีกด้วย เรียกว่าไม่ธรรมดาทีเดียวสำหรับรถคลาสสิคแบบนี้

เมื่อถามถึงความเป็นลักษณะเด่นของรถ คุณจอยได้กล่าวว่า “น่าจะเป็นเพราะรูปลักษณ์ของรถที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ทั้งการบรรทุกคน สัมภาระสิ่งของต่าง ๆ หรือเป็นรถนำเที่ยวตามรีสอร์ท”  

“สีสัน ความบันเทิง” ความสุขของเจ้าของในการตกแต่งรถ 


“ ตุ๊กตุ๊ก” เสียงของท่อไอเสียอันเป็นเอกลักษณ์ดังสนั่นไปทั่วท้องถนน แต่กลับเป็นรถคันเล็กรูปทรงแปลกตา
มีลวดลายสารพัดสี แล้วแต่อารมณ์ของผู้ขับขี่ในการตกแต่งตามสไตล์ของตัวเอง ตากลมบ้าง ตาเหลี่ยมบ้าง  บางคันก็คงความเก่าไว้อย่างเหนียวแน่น

ตั้งแต่เช้าจรดเย็นเจ้ารถชนิดนี้จะวิ่งวุ่นไปทั้งเมือง เป็นทั้งรถประจำทาง รถรับจ้างเหมา ขนทั้งคนและสิ่งของสารพัด เริ่มปฏิบัติภารกิจตั้งแต่เช้าตรู่ พ่อค้าแม่ค้าขนของไปขาย แม่บ้านไปจ่ายตลาด เด็ก ๆ เดินทางไปสถานศึกษา ข้าราชการเดินทางไปทำงาน รวมถึงนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ต้องการเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ขนจนรถเอียงไปข้างหนึ่งก็มี

  ตุ๊กๆ หัวกบ กับนักท่องเที่ยว

ฉันเหลือบไปเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งเดินลงมาจากสถานีรถไฟ คนขับรถรีบวิ่งเข้าไปนำเสนอบริการอย่างขมีขมัน ก็เลยอยากรู้ขึ้นมาว่าสถานที่แห่งใดในพระนครศรีอยุธยานี้เป็นสถานที่ยอดฮิตของนักท่องเที่ยว พอลองสอบถามจากบรรดาคนขับรถก็เลยทำให้ทราบว่าสถานที่แห่งนั้นคือวัดและโบราณสถาน เช่น วัดใหญ่ชัยมงคล วัดพนัญเชิง วัดพระศรีสรรเพชญ์ วิหารพระมงคลบพิตร วัดไชยวัฒนาราม วัดท่าการ้อง

ถ้าอยากทราบว่าแหล่งของกินที่ไหนอร่อยทั้งของคาวและของหวาน รับรองได้ว่าถ้าให้ ตุ๊กตุ๊ก นำทาง ท่านจะพบร้านอร่อยโดยไม่ผิดหวังแน่นอน หรือถ้าไปไหนไม่ถูกก็เรียกใช้บริการตุ๊กตุ๊ก นี่แหละ เพราะเข้าถึงได้ทุกตรอก ซอก ซอย ทั่วทุกมุมเมืองในอยุธยานี้ โดยไม่ต้องพึ่ง GPS หรือ Google map ให้เสียเวลา นี่คืออีกบทบาทของรถเล็ก ๆ คันหนึ่ง

เสน่ห์ของรถหัวกบมีมนต์ขลังไม่เสื่อมคลาย ด้วยความเก๋า มีการจัดตั้งชมรมคนรักตุ๊กตุ๊กเกิดขึ้น
ที่สำคัญมีอู่ซ่อมรถโดยเฉพาะ และยังดัดแปลงทำเป็นร้านค้าเคลื่อนที่ได้ ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ ร้านสเต็ก
ร้านข้าวแกง ฯลฯ เป็นการสร้างทางเลือกใหม่ในการประกอบอาชีพได้อีกทางหนึ่ง
ตุ๊กๆ หัวกบ ถูกนำมาใช้ตกแต่งร้านเพื่อเพิ่มสีสัน 
ฉันได้ไปพบกับ ตุ๊กตุ๊ก คันหนึ่ง เธอจอดนิ่งสงบอยู่หน้าร้านอาหาร ไม่ได้ออกไปวิ่งโลดโผนเหมือนรถคันอื่น แต่เธอก็ทำให้คนมีความสุขได้ ด้วยรูปโฉมอันคลาสสิค และสีสันสดใสสะดุดตาต่อผู้พบเห็น จึงกลายเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่ง ดูเหมือนว่าตุ๊กตุ๊ก ไม่ได้เป็นเพียงรถโดยสารอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว 

เมื่อมองเห็นสภาพของรถบางคันมีร่องรอยของความเก่าแก่ อย่างเช่น แตกลายงา มีคราบสนิมกัดกร่อน เช่นเดียวกับสิ่งของอื่น ๆ ที่เก่าแล้วย่อมผุพังไปตามกาลเวลา หากแต่วิถีชีวิตของรถได้ผูกติดไว้กับวิถีชีวิตของผู้คน ดังนั้นลมหายใจของรถก็คือลมหายใจของคนเช่นกัน

 ตุ๊กๆ หัวกบ ในอู่ซ่อมบำรุง

ได้รู้จักคุณลุงที่มีอาชีพขับรถตุ๊กๆ คือคุณลุงหวัง  พลีรักษ์ หรือ ลุงบัง “ ลุงเป็นชาวมุสลิมขับตุ๊กตุ๊ก มา ๒๐ ปี ตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม ก่อนหน้านี้เคยขับรถบรรทุก” ลุงบังได้บอกเล่าประสบการณ์ของชีวิตการขับรถตุ๊กตุ๊กให้ฉันฟัง และที่น่าประทับใจก็คือท่านได้พูดถึงหลักในการทำงานว่า “คือการซื่อสัตย์ต่อลูกค้า การตรงต่อเวลา เมื่อถามถึงวันหยุด ลุงบังพูดว่า “ไม่มีวันหยุด วันหยุดคือวันที่เราป่วย”  และประโยคสุดท้ายที่ฉันได้รับรู้จากคนขับรถตุ๊กตุ๊กคนหนึ่งว่า “อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงคือการจัดระเบียบรถให้ดีขึ้น”

 ว่างจากการขับก็ใช้เป็นที่พักผ่อน

ทำให้ฉันได้มองเห็นอีกแง่มุมหนึ่งของชีวิต หากเปรียบได้กับรถเมื่อเสียก็ต้องเข้าอู่ซ่อม แล้วยังมีอะไหล่ให้เปลี่ยน แต่ชีวิตคนนั้นไม่มี สิ่งที่หลงเหลืออยู่คือความงดงามของจิตใจ และความรับผิดชอบต่อหน้าที่
เฉกเช่นคติในการทำงานของลุงบังคนขับรถตุ๊กตุ๊ก แห่งอยุธยา

เคยได้ยินคำพูดหนึ่งที่ว่า “ ชีวิตคือการเดินทาง” รถรับจ้างก็เช่นเดียวกัน ตราบใดที่ยังมีผู้คนออกเดินทาง รถรับจ้างก็จะมีชีวิตชีวาโลดแล่นไปบนเส้นทางแห่งสีสันในมหานครเก่าแก่ที่เคยมีชื่อว่า “อโยธยาศรีรามเทพนคร ”

   ตุ๊กๆ หัวกบ ซิ่งไปทุกมุมเมือง

แหล่งข้อมูลอ้างอิง http/www.wikiwand.com

ขอขอบพระคุณ กลุ่มผู้ประกอบการสามล้อเครื่องแห่งอยุธยา  คุณคุณนภัทร์  สำลี คุณลุงหวัง  พลีรักษ์
คุณธนภัทร  ทองพูล คุณมณีรัตน์  รวย
ลาภ ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับรถเป็นอย่างดี
ขอขอบพระคุณ อู่ซ่อมรถช่างโอ ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ในการถ่ายภาพ

Sunday, October 2, 2016

เส้นทาง(โรตี)สายไหม เส้นทางที่เชื่อมโยงความรักและผูกพัน ผ่านสถาบันครอบครัวชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

 สายไหม...สายใยแห่งบ้านแสงอรุณ

รัชฎากรณ์ จุ้มเขียวเรื่อง อิงฟ้า นิมิบุตรภาพ

แป้งโรตีเหนียวนุ่มห่อหุ้มสายไหมหอมหวานมันไว้ด้านใน ใครจะไปรู้ว่าขนมหวานชนิดนี้มีเรื่องราวมากมายซ่อนไว้ในทุกเส้นใยของสายไหมและทุกอณูของแป้งโรตี 

ว่าแล้วก็ไม่รอช้า เราไปตามหาที่ไปที่มาของขนมหวานชนิดนี้กันเถิดค่ะ

   คุณป้ามณี หนึ่งในผู้สืบทอดการทำโรตีสายไหมของตระกูลแสงอรุณ กำลังเล่าเรื่องราวของโรตีสายไหมให้ฟัง

คุณป้ามณี แสงอรุณ วัย ๕๙ ปี เล่าว่า ย้อนไปเมื่อหลายสิบปีก่อน คุณอาไปเที่ยวประเทศนอก สมัยนั้นป้ายังเป็นเด็กเล็กจึงไม่ทราบแน่ชัดว่าประเทศอะไร ด้วยความที่เป็นคนมีมานะใฝ่รู้ คุณอาจึงมีโอกาสไปร่ำเรียนการทำแป้งโรตีจากประเทศหนึ่งซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ต่อมาได้นำความรู้มาถ่ายทอดให้ลูกหลาน หนึ่งในคนที่ได้เรียนจากคุณอาคือนายซาเล็ม แสงอรุณ หรือบังเปีย พี่ชายของป้าเอง ในปี พ..๒๕๐๖ บังเปียได้เริ่มปั่นจักรยานเร่ขายโรตีสายไหมเป็นเจ้าแรกของอยุธยา ต่อมาได้ชักชวนเครือญาติให้มาทำโรตีสายไหมขาย จนกิจการขยายใหญ่โตมาถึงทุกวันนี้"

สมัยกระโน้นครั้งป้ามณียังเป็นเด็ก เมื่อได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดของจักรยานคันเก่าๆ พร้อมกับเสียงกระดิ่งมาแต่ไกล ป้ามณีมักจะวิ่งไปดักรอซื้อโรตีสายไหม คนขายจะทำกล่องไม้สะพายหรือติดไว้ที่ท้ายจักรยาน กล่องหนึ่งเป็นกล่องเสี่ยงโชค ประกอบด้วยหน้าปัดตัวเลข เข็มชี้ และมีช่องสำหรับหยอดเหรียญ กล่องที่เหลือบรรจุแป้งโรตีและสายไหม เมื่อหยอดเหรียญสลึงลงไปในกล่องเสี่ยงโชคแล้วกดปุ่ม เข็มก็จะหมุนวนจนไปหยุดชี้เลข ๆ หนึ่ง เข็มหยุดที่เลขจำนวนไหน ก็จะได้โรตีสายไหมจำนวนเท่ากับเลขนั้น ป้าลุ้นและสนุกกับการกดโรตีสายไหมมาก เพราะได้เล่นและได้กินด้วย เมื่อโตขึ้นพี่ชายก็ได้สอนวิธีทำโรตีสายไหมให้กับป้า แววตาของป้ามณีฉายแววความสุขขณะเล่าถึงความหลัง

วิธีการขายโรตีสายไหมได้ดำเนินผ่านวันเวลามาเรื่อยๆ จากที่เคยปั่นจักรยานขายก็กลายมาเป็นร้านรวงมีหลักแหล่ง ดังภาพคุ้ยเคยในปัจจุบัน ตลอดแนวถนนอู่ทองหน้าโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยานั้น ถือได้ว่าเป็นย่านของร้านโรตีสายไหมเลยทีเดียว เพราะนอกจากร้านโรตีสายไหมของป้ามณี แสงอรุณแล้ว ข้างๆกันนั้นยังมีร้านอาบีดีน-ประนอม แสงอรุณ ซึ่งเป็นร้านน้องสาวของบังเปีย และร้านโรตีสายไหมเจ้าอื่นอีกมากมายเรียงรายให้ลูกค้าเลือกซื้อ

 หน้าร้านโรตีสายไหมอาบีดีน-ประนอม วางโรตีสายไหมเป็นแนวยาวตั้งแต่เช้า รอลูกค้ามาเชยชมและซื้อไปฝากคนที่รัก

ร้านอาบีดีน-ประนอม แสงอรุณ นอกจากจะได้รับนิยมจนมีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาอุดหนุนตลอดไม่ขาดสายแล้ว ร้านอาบีดีนฯยังเป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะพาเราไปดูต้นสายปลายทางของขนมหวานเลื่องชื่อแห่งอยุธยาอีกด้วย เพราะทางร้านมีแหล่งผลิตขนาดย่อมแต่ครบวงจรอยู่ด้านหลังร้าน ซึ่งช่วยบอกเล่าถึงเส้นทางโรตีสายไหมแก่เราได้เป็นอย่างดี

พื้นที่ด้านหลังร้านอาบีดีนฯ ถูกแบ่งพื้นที่ใช้งานออกเป็นสัดส่วน ด้านหน้าสุด เป็นพื้นที่สำหรับหม่าแป้ง แต้มแป้ง ด้านหลังเป็นพื้นที่ผสมหัวเชื้อ เคี่ยวน้ำตาล และยืดเส้นน้ำตาล

เช้าตรู่ของทุกวัน ช่วงเวลาตีห้าถึงหกโมงเช้า กระบวนการผลิตจะถูกขับเคลื่อนด้วยชายวัยรุ่นในชุดนักบอลหลากสีสัน ผู้หญิงในชุดลำลองหลากสไตล์ สมทบด้วยพัดลมประจำตัวของแต่ละคน เนื่องจากบริเวณพื้นที่ทำงานรายล้อมไปด้วยเตาขนาดน้อยใหญ่ อากาศจึงร้อนอบอ้าวตลอดทั้งวัน พัดลมและยูนิฟอร์มหลากสีหลากสไตล์เหล่านี้สามารถช่วยคลายร้อนให้กับคนทำงานได้มาก เพื่อให้การผลิตโรตีสายไหมดำเนินไปด้วยดี ตามกรรมวิธีที่ถูกส่งต่อกันมายาวนาน

ขั้นตอนการแต้มแป้ง
ความเหนียว ความหนาและขนาดของแป้งโรตี เป็นเสน่ห์ที่แต่ละร้านจะเชื้อเชิญลูกค้ามาเลือกสรร 

การทำโรตีสายไหมนั้นเริ่มต้นด้วยการทำให้แป้งมีความอ่อนตัว เรียกว่า การหม่าแป้ง โดยนำแป้งสาลีมาเทลงในกะละมัง จากนั้นเทน้ำผสมลงไป เหยาะเกลือ แล้วใช้สองมือบรรจงคลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้าเนื้อกันใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง

เมื่อหม่าแป้งจนเข้าเนื้อกันแล้ว ก็ส่งต่อให้คนแต้มแป้ง ผู้ซึ่งใช้มือเปล่าข้างที่ถนัดตักแป้งหม่าขึ้นมาจากกะละมัง ควงแป้งแกว่งไปในอากาศเพื่อทดสอบความยืดหยุ่น แล้วจึงแตะแป้งลงไปบนเตาเบาๆคล้ายกับการแต้มสี จากนั้นยกมือขึ้นดึงแป้งกลับมาควงต่ออย่างรวดเร็ว ส่วนอีกมือคอยถือเกรียงเกลี่ยแป้งที่นอนแผ่หราบนเตาให้มีความเรียบเนียน หนาบางเสมอกัน เมื่อแป้งสุกขอบแป้งจะแห้งและยกตัวขึ้นมาเอง จึงใช้เกรียงแซะแป้งลงไปวางในถาดที่ปูด้วยกระสอบสีขาว แล้วจึงบรรจุแป้งลงในหีบห่อตามน้ำหนักที่กำหนดไว้

หลังจากนั่งแต้มแป้งจนเมื่อยแล้ว ได้เวลาไปยืดเส้นยืดสาย ทำให้น้ำตาลกลายเป็นสายไหมที่หอมหวานกันต่อ
 พี่ชายยิ้มหวานมองกล้องหลังจากที่เพิ่งทำสายไหมเสร็จไปหนึ่งกะทะ

แต่ก่อนจะได้สายไหมที่หอมหวานนั้น ก็ต้องมารู้จักกับหัวเชื้อซึ่งได้มาจากการนำแป้งสาลีมาผสมกับน้ำมันปาล์มต้มเคี่ยวด้วยไฟแรงๆประมาณ ๒ ชั่วโมง ก่อนจะนำมาผสมกับน้ำตาลที่เคี่ยวเสร็จแล้ว เพื่อยืดเส้นให้กลายเป็นสายไหมต่อไป

เราเคี่ยวน้ำตาลโดยนำน้ำตาลทรายขาวมาผสมกับน้ำ จากนั้นนำไปเทลงในกะละมังลอยน้ำ รอให้น้ำตาลเย็นจับตัวกันเป็นก้อนแข็ง พี่ศรัญยู หนุ่มกล้ามล่ำวัย ๒๖ ปี หนึ่งในนักยืดเส้นประจำร้าน อธิบายอย่างอารมณ์ดีพร้อมชี้ชวนให้ดูคู่หูอีกคนหนึ่งที่กำลังเคี่ยวน้ำตาลอย่างขะมักเขม้น

เมื่อหัวเชื้อและน้ำตาลเคี่ยวโคจรมาพบกัน เรื่องราวหอมหวานมันก็ได้เกิดขึ้นเป็นเส้นทางสายไหม พี่ศรัญยูใช้เวลาประมาณ ๑๕ นาทีไปกับการยืดเส้นยืดสายให้น้ำตาลก้อนนุ่มกลายเป็นสายไหมบอบบางในที่สุด

กระบวนการผลิตนี้ดำเนินไปเรื่อยๆตั้งแต่เช้าจรดเย็นเป็นวัฏจักร บางวันหมุนยาวไปจนถึงสองทุ่ม ขึ้นอยู่กับจำนวนลูกค้าว่ามีมากหรือน้อย เนื่องจากร้านแสงอรุณไม่ใส่สารกันบูด การผลิตนั้นจึงเกิดขึ้นวันต่อวัน

ในแหล่งผลิตโรตีสายไหมมีทั้งชาวพุทธและชาวมุสลิมที่มาทำงานร่วมกัน แต่กลับไม่มีความแตกต่างให้เห็น ทุกคนยิ้มแย้ม แม้กระทั่งเด็กๆก็มักจะติดตามพ่อแม่มา ณ ที่แห่งนี้ในวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยเด็กๆจะมานั่งกินโรตีสายไหมพร้อมๆกับดูโทรทัศน์ด้วยกัน

 เด็กชายผู้โชคดี มาเล่นรอแม่เลิกงาน ได้หม่ำโรตีสายไหมทุกวัน

การผลิตโรตีสายไหมจึงเป็นเหมือนสายใยที่เชื่อมใจพนักงานทุกคนไว้ด้วยความอบอุ่นเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน ทุกคนจึงทำงานอย่างสนุกสนานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

พี่ทำงานที่นี่มา ๕-๖ ปีแล้วเพราะพี่อยากอยู่ใกล้ลูกอยากดูแลครอบครัว ถ้าจะถามว่ามั่นคงไหม? พี่คิดว่าพออยู่ได้นะ รายได้เขาให้เราเป็นรายวัน ขึ้นอยู่กับจำนวนลูกค้าและความขยันของเรา บางวันถ้าลูกค้าเยอะมากๆ เงินที่ได้อาจมากถึง ๘๐๐ บาทเลยทีเดียว ส่วนเรื่องวันหยุดก็มีสัปดาห์ละ ๑ วัน ซึ่งเขาจัดสรรให้ทุกคนได้หยุดพักในวันธรรมดา พี่พัชรี บอกเล่าขณะที่ใช้มือข้างหนึ่งแต้มแป้งสลับกับควงแป้ง และมืออีกข้างหนึ่งใช้เกรียงแซะแป้งที่สุกแล้วเหวี่ยงลงไปในถาดอย่างต่อเนื่อง

 แป้งโรตีกองสูง...วางรอคลายความร้อน เพื่อนำใส่ถุง

ส่วนฝ่ายบรรจุแป้งโรตีลงถุง ก็รับไม้ต่อโดยหยิบเอาแป้งโรตีที่สุกแล้วมาบรรจุใส่ถุงพร้อมกับชั่งน้ำหนักตามเกณฑ์ที่ทางร้านกำหนดไว้อย่างกระฉับกระเฉง พลางบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง

ผมทำงานที่นี่มา ๘ ปีแล้วครับ ผมชอบบรรยากาศการทำงานของที่นี่ ผมชอบอิสระ เรื่องการแต่งตัว ผมจะแต่งชุดอะไรมาก็ได้เขาไม่ว่า การทำงานในวันหนึ่งๆถ้าหากเราคำนวณไว้แล้วว่าเราจะทำปริมาณเท่าไหร่ เมื่อถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ เราสามารถกลับบ้านก่อนได้ แต่ทั้งนี้ต้องดูด้วยว่าลูกค้าเยอะไหม ส่วนเรื่องรายได้กับความสุขนั้นถือว่าสมดุลกันครับ ทั้งสนุกกับการทำงานและมีรายได้ไปจุนเจือครอบครัว ในบางวันถ้าทำพลาดก็มีโดนบ่นบ้าง เป็นปกติของการทำงาน ทำให้เรารู้ว่าผิดพลาดตรงไหน และจะได้แก้ไขปรับปรุงตัวเองพี่สุมิตร หนุ่มไว้หนวดเคราช่างเจรจา วัย ๒๔ ปีเล่าอย่างออกรส

เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการผลิตทั้งแป้งโรตีและสายไหม วัตถุดิบเหล่านี้ก็จะถูกนำมาวางหน้าร้าน เพื่อจำหน่ายให้กับลูกค้าจากทั่วสารทิศต่อไป

 รูปแบบถุงไส้ของร้านอาบีดีน-ประนอม

เป็นที่น่าสังเกตว่าทั้งๆที่มีร้านโรตีสายไหมตั้งเรียงรายอยู่มากกว่า ๕๐ ร้านตลอดแนวของถนนอู่ทอง ฝั่งตรงข้ามกับโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา ทว่าโรตีสายไหมแต่ละร้านนั้นกลับมีจุดเด่นเฉพาะตัวแตกต่างกันไป ทั้งในส่วนของแป้งโรตีที่เหนียวนุ่ม ไม่มีกลิ่นเหม็น บางร้านเน้นความเป็นดั้งเดิม แป้งโรตีจึงมีแค่แป้งขาวกับแป้งใบเตย บางร้านเน้นความแปลกใหม่ตามกระแสจึงเพิ่มรส/กลิ่นที่หลากหลายลงไปในตัวแป้งโรตี ในส่วนของสายไหมก็มีทั้งแบบดั้งเดิมและแบบแปลกใหม่ให้เลือกหลายรสชาติมากพอกัน โดยลูกค้าจะให้คะแนนโรตีสายไหมแต่ละร้านแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของความสะอาด ความสดใหม่ ความอร่อยของแป้งและสายไหม และดูจากความนิยมว่าร้านไหนมีคนต่อแถวซื้อเยอะ จึงค่อยตัดสินใจซื้อร้านนั้น

 ครอบครัวสุดจิตรพาลูกชายมาท่องเที่ยวเรียนรู้วิถีชีวิต และแวะซื้อโรตีสายไหมร้านอาบีดีน-ประนอม ตามคำขอของเพื่อนที่ฝากซื้อ

ลูกค้าที่มาอุดหนุน ต่างก็มีวัตถุประสงค์ต่างกันไป บางคนมาท่องเที่ยวแล้วถือโอกาสแวะมาอุดหนุนโรตีสายไหมก่อนกลับบ้าน บางคนตั้งใจมาซื้อ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ลูกค้าส่วนใหญ่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ถ้าหากมาอยุธยาแล้วไม่ซื้อโรตีสายไหมกลับบ้าน แสดงว่ามาไม่ถึงอยุธยา

ช่วงสุดสัปดาห์ผมมักจะพาครอบครัวไปท่องเที่ยวครับ เพื่อทำกิจกรรมต่างๆร่วมกันทำให้ครอบครัวมีชีวิต ครั้งนี้มาอยุธยาตั้งใจมาตกปลา เที่ยวชมวัดวาอาราม ดูวิถีชีวิตของผู้คน และก่อนกลับบ้านผมก็ไม่ลืมที่จะแวะมาซื้อโรตีสายไหม เอาไปฝากญาติๆและเพื่อนฝูงตามที่ตั้งใจไว้ครับคุณสมหวัง สุดจิตรนักท่องเที่ยวที่มาพร้อมกับภรรยาและลูกชาย บอกเล่าอย่างเป็นกันเอง

เหตุที่โรตีสายไหมเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์โดดเด่นของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพราะอยุธยาเป็นจังหวัดที่มีการผลิตและเร่ขายโรตีสายไหมเป็นเจ้าแรกโดยบังเปีย ต่อมาได้ถ่ายทอดวิธีการทำโรตีจากรุ่นสู่รุ่น จวบจนปัจจุบันแทบทุกบ้านสอนลูกหลานให้ทำโรตีสายไหมตั้งแต่เด็ก ทำให้ครอบครัวได้ทำกิจกรรมร่วมกัน อีกทั้งยังก่อให้เกิดรายได้งอกงาม เด็ก ๆ ได้ฝึกทักษะการทำงานช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ เป็นที่กระจ่างแล้วว่าโรตีสายไหมไม่เพียงแต่สร้างรายได้สร้างอาชีพให้ผู้คนชาวอยุธยาเท่านั้น แต่ได้สร้างสายใยความรักความผูกพันและความมั่นคงให้กับสถาบันครอบครัวอีกด้วย
 เด็กน้อยชวนกันเล่นซน รอเวลาเลิกงานของพ่อแม่ในร้านอาบีดีน-ประนอม
นอกจากนี้โรตีสายไหมยังมีความน่าสนใจอีกมาก พี่นกแม่ค้าโรตีสายไหมร้านสุทธินิว เล่าว่า โรตีสายไหมเป็นขนมที่มีเสน่ห์มากนะจะบอกให้ ทุกวันนี้ยังไม่มีเครื่องมือทุ่นแรงใดๆมาทดแทนกำลังและฝีมือของคนได้เลย เพราะเราต้องใส่ใจในทุกขั้นตอน การหม่าแป้งก็ต้องดูว่าแป้งมีความหนืดเกินไปหรือไม่? การแต้มแป้งก็ต้องทำให้แป้งมีความหนาพอดี น้ำตาลเคี่ยวต้องมีความข้นพอดี ที่สำคัญคือ โรตีสายไหมไม่มีความสำเร็จรูป ผู้บริโภคได้มีส่วนร่วม มีความสุขกับการได้ห่อเอง ได้กินเองและทำให้คนที่รักกิน

จากอดีตสู่ปัจจุบัน มีร้านโรตีสายไหมถือกำเนิดขึ้นมากมาย แต่ทว่ากลับไม่มีภาพของการแข่งขันที่รุนแรง เพราะแต่ละเจ้าต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เขามีความเชื่อมั่นในความอร่อยและคุณภาพของโรตีสายไหมที่ตัวเองทำ ไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเองและมีการคิดค้นกุศโลบายการขายที่แปลกใหม่ต่างกันไป ให้ลูกค้าเป็นผู้ตัดสินใจเอง

เราคงจะเห็นแล้วว่า โรตีสายไหม ไม่ได้เป็นเพียงขนมหวานชนิดหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของอยุธยาช่วง ๕๐ กว่าปีที่ผ่านมา ในแง่มุมเล็กๆด้านการค้าขาย วิถีชีวิต และการอยู่ร่วมกันของผู้คนต่างศาสนาในชุมชนเดียวกัน สายไหมเป็นเสมือนสายใยที่คอยเชื่อมความสัมพันธ์ให้คนในครอบครัว ช่วยสร้างสัมมาอาชีพและรายได้ให้คนในท้องถิ่น ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนและสังคมพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน

   เพราะความสดใหม่และยังคงรสชาติแห่งความอร่อย จึงทำให้มีลูกค้าแวะเวียนตลอดวัน

แหล่งข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์
https://sites.google.com/site/rotisaimaiayuthya/change-the-banner